เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ก.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกเห็นไหม โลกเป็นไปหมู่สัตว์ โลกเห็นไหม โลกหมุนไปอย่างนั้น

ดูเราทำไร่ไถนา เรากำจัดวัชพืช เราทำลายสิ่งต่างๆ แล้วเราต้องการข้าว แล้วเวลาข้าวออกรวง ข้าวออกมา เราต้องรักษามันอย่างดีเลยนะ ต้องดูแลข้าว เพราะเราจะเอาผลประโยชน์จากข้าวนั้น แต่หญ้าเราไม่ต้องการนะ เราจะฆ่าหญ้า เราทำลายหญ้า แต่หญ้านะ ถ้าคนใช้ประโยชน์ เห็นไหม เขาเกี่ยวหญ้าไปเลี้ยงวัวเลี้ยงสัตว์ของเขานะ หญ้าเขาใช้ประโยชน์ของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาในวัฏวน คนเราเกิดมามันมีกิเลสในหัวใจนะ ถ้าไม่มีกิเลสในหัวใจ มันไม่ขับดันให้เรามาเกิดหรอก แต่กิเลสขับดันขึ้นมา ถ้าเราทำคุณงามความดี เห็นไหม กิเลสมันก็เป็นกิเลสอันหนึ่ง กิเลสนี่อยากดี ถ้าอยากเด่นอยากดังอย่างนี้มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหม นั่นเป็นเรื่องของว่าต้องมีความทุกข์มากเลย เพราะมันไม่มีใครอยากจะให้เราเกินหน้าหรอก

แต่ถ้าทำดีในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตาธรรม เห็นไหม เราเมตตาธรรม เราทำของเรา เราทำเมตตา เหมือนกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก เวลาเราสร้างบุญกุศลให้ทิ้งเหว คือเราไม่ปรารถนาสิ่งใดเลย เราทิ้งเหว

เราใส่บาตรพระไป ตกไปในบาตรพระ ตั้งแต่จะธุดงควัตรไปถือตกบาตร ถ้าไม่ตกบาตรไม่ฉัน ไม่รับภัตตามมา เห็นไหม ตามมีตามได้ไง วาสนาใครวาสนาของเขา ใครสร้างคุณงามความดีมาขนาดไหน คนสร้างมานะ คนไม่สร้างมา ดูสิ เราออกจากบ้านมา ใครพกเงินมามาก คนนั้นมีเงินติดกระเป๋ามามากนะ ใครพกเงินมาสมควร ใครพกเงินมาน้อย เห็นไหม นี่เราพกมาเพราะอะไร เราเอาเงินใส่กระเป๋ามา เห็นไหม

แต่บุญกุศลมันแนบไปกับใจนะ เวลาใจตายไป บุญกุศลนี่ ถ้าเราเปิดตาพ่อเปิดตาแม่ เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ พญาสาม เห็นไหม อะไรที่ว่า ๓ น่ะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่นะ เอาพ่อไว้บนบ่าข้างซ้าย เอาแม่ไว้บนบ่าข้างขวา ให้ถ่ายให้รดบนบ่า ดูแลรักษาไป มันก็ได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องนั่นแหละ

แต่ถ้าเราให้พ่อแม่เราเข้าใจเรื่องธรรมะ เห็นไหม มันเลี้ยงใจนะ ถ้าเลี้ยงใจ ใจมันเข้าใจไปแล้ว เวลามันตายไปแต่ละภพแต่ละชาติ เพราะสมบัติมันติดไปไง เงินทองนี่มันอยู่ในชาตินี้นะ แต่บุญกุศลมันแนบกับหัวใจไป เห็นไหม อามิสทาน คำว่า “อามิส” เกิดจากผลคุณงามความดี ความดีไปเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนะ “สุขนี้ได้แต่ใคร? สุขนี้ได้แต่ใคร?”

มีมากเลยเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปโปรดสัตว์ เห็นไหม เศรษฐีมีลูกอยู่แล้วตระหนี่ เวลาลูกตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วย เห็นไหม เอาไว้ในบ้าน กลัวเขามาเยี่ยมลูกแล้วจะเห็นสมบัติ เอาลูกไปทิ้งไว้หน้าบ้านนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นจริตนิสัย แค่บิณฑบาตผ่านไป ฉายแสงฉัพพรรณรังสีออกไป ลูกชายหันมาเหลียวมาเจอนะ เห็นแสง โอ้.. มันมีความสุขใจ แล้วพอดีวันนั้นก็ตายเพราะเป็นไข้หนัก เห็นไหม ไปเกิดเป็นเทวดา แค่นี้! แค่ได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เห็นแสง ได้มีความปลื้มใจไง

ดูสิ ทุกข์นะ พ่อแม่นี่ เจ็บไข้ได้ป่วยจะหาหมอมารักษาก็กลัวจะเปลืองทรัพย์ อะไรก็จะเปลืองไปหมดเลย รักก็แสนรักนะ เวลารักก็รัก ลูกของเรา ลูกคนเดียว เศรษฐีนะ ใครบ้าง... มันห่วงสมบัติไง สมบัติอันนี้เป็นของของเรานะ ต้องให้ลูกเพื่อจะรับมรดกตกทอด แต่เวลาจะเสียสละเพื่อลูก เสียสละเพื่อเอาจ้างหมอมารักษาก็เสียดาย เห็นไหม ดูใจสิ แล้วใจดวงไหน พ่อแม่คนไหนไม่รักลูก เป็นไปไม่ได้หรอก รักก็ส่วนรัก เห็นไหม แต่เวลาจะเสียสละก็เสียสละไม่ได้ กิเลสมันเป็นอย่างนี้ กิเลสไม่มีเหตุผลในหัวใจ แล้วย่ำยีในหัวใจของเรานะ

สุดท้ายแล้วเอาลูกไปไว้ข้างนอก เวลาตายไป เห็นไหม เอาลูกไปฝัง ไปร้องไห้ทุกวันเลย ไปร้องไห้ แต่ลูกไปเกิดเป็นเทวดา เพราะเทวดามันเป็นความรู้สึก เป็นเรื่องของใจ มันจะเห็นหมดล่ะ จะมาโปรดพ่อไง ก็รักพ่อเหมือนกัน จะมาโปรดพ่อ จะโปรดพ่อจะโปรดอย่างไร? จะมาพูดอย่างนี้

ดูอย่างนี้ เราเลี้ยงลูกขึ้นมานะ ลูกเป็นอย่างนั้น ลูกเป็นอย่างนี้ จะให้ลูกเป็นคนดีนะ มันเป็นคำพูดอย่างนี้ มันเป็นคำพูดเปลือกๆ แต่ถ้าเรามีเทคนิคนะ เราให้ลูกศึกษาเอง ลูกรู้เอง ลูกมันจะเข้มแข็งขึ้นมา เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เทวดาจะสอนพ่อนะ เห็นพ่อไปร้องไห้ที่ฝังศพที่ในป่าช้า เทวดาแปลงร่างมา เห็นไหม เป็นทุกข์จนเข็ญใจ เข้ามานั่งร้องไห้เหมือนกัน นั่งร้องไห้ดักหน้าเลย

“ร้องไห้ทำไม?” พ่อในปัจจุบัน แต่ลูกไปเป็นเทวดายังไม่รู้ “ร้องไห้ทำไม?”

“ร้องไห้จะเอาดาวเอาเดือน”

นี่ด้วยพ่อนะ “จะเป็นไปได้อย่างไร? จะเอาดาวเอาเดือนเป็นไปได้อย่างไร?”

ลูกก็ให้พ่อเข้าใจนะ “แล้วคนตายไปแล้วมาร้องไห้พิลาปรำพัน มันจะได้อะไรขึ้นมา?” นี่ได้สติขึ้นมา เห็นไหม นี่จะสอนพ่อ เทคนิคการสอน

การสอนนี่เหมือนพระกรรมฐาน พระกรรมฐานจะบอกถึงความผิดความถูกในหัวใจ จะต้องมีเทคนิคนะ เพราะอะไร เพราะเราเกิดทิฏฐิมานะ ทิฏฐิมานะของใจมันมีอยู่แล้ว มันเป็นอวิชชา รู้นี่ไม่จริง ถ้ารู้ไม่จริง พอไปเห็นเข้าในความเห็นของตัวก็ยึด เห็นไหม เหมือนวัยรุ่น มันคิดของมันประสามัน มันรู้ประสามัน มันรู้ของมันนะ แล้วมันว่าของมันถูกของมันถูกนั่นแหละ

แต่ประสบการณ์ชีวิตมันก็จะไปเกิดเป็นพ่อเป็นแม่ของคน แล้วมันก็จะไปสอนลูกอย่างนั้น นี่ไม่ได้นะ นี่ไม่ได้นะ แต่เวลาเราเป็นวัยรุ่น พ่อแม่สอนนี่เบื่อมากๆ เลย ความเบื่ออย่างนี้ นี่ประสบการณ์อย่างนี้ประสบการณ์ของใจ ใจมันจะปิดไป นี่คืออวิชชา รู้ไม่จริง รู้ไม่จริง แต่ก็มีความรู้อยู่ เห็นไหม สิ่งนี้มันอยู่ในหัวใจ มันขับเคลื่อนไปอย่างนี้ แล้วธรรมะล่ะ?

ถ้าธรรมะขึ้นมา ความรู้ใคร่ครวญสภาวะแบบนี้ ใคร่ครวญนะ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งใดความรู้สึกสิ่งต่างๆ นี่เป็นอนิจจังทั้งหมดเลย ดูสิ ว่าสภาวะของโลกมันแปรสภาพไป แม้แต่วัตถุมันยังแปรสภาพไปเลย แล้วความรู้สึกนี่มันยิ่งแปรสภาพใหญ่ ความคิดนี่ยิ่งร้อยแปดเลย ความคิดเกิดดับ เกิดดับยิ่งแปรสภาพใหญ่เลย

แต่เป็นวัตถุนี่เรายังผลักไส เบื่อหน่ายเรายังทิ้งได้นะ แต่ความคิดไม่มีเบื่อหน่ายเลย ยิ่งสิ่งใดที่ผิดผองหมองใจยิ่งชอบคิดนะ สิ่งใดที่เป็นบุญกุศลไม่ค่อยคิดถึงมันหรอก มันคิดของมันไม่ได้ เห็นไหม กิเลสมันอย่างนั้น มันถึงว่าที่ว่ามันเหยียบหัวใจ มันเหยียบหัวใจอย่างนี้ สิ่งใดที่อยากให้เป็นคุณประโยชน์กับเรามันก็คิดไม่เป็น สิ่งใดที่ไม่เข้าใจแต่กิเลสมันพอใจ เห็นไหม ตัณหาความทะยานอยาก มันพอใจมันก็พยายามดึงเข้ามา แล้วมันก็ให้ความแสบร้อนในหัวใจของตัวเอง แล้วก็ดับไม่เป็นนะ ดับไม่เป็น ธรรมะเป็นอย่างนี้ เริ่มจากให้เสียสละทานขึ้นมาเพื่ออะไร เห็นไหม เสียสละทานขึ้นมา

ดูเขาทำนาสิ เขาต้องไถก่อน เขาต้องปรับพื้นที่ก่อน เหมือนกัน ใจเหมือนกัน จะไปคิดเองๆ คิดมันก็โดนกิเลสชักนำไปก่อน ก็คิดในอำนาจของกิเลส เห็นไหม เราถึงทำความสงบของใจเข้ามาก่อน พยายามทำสงบของใจเข้ามา ถ้ามันสงบไม่ได้ขึ้นมาก็ไปใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้เห็นโทษของมัน

ดูสิ ต้นหญ้าขึ้นมาไม่เป็นประโยชน์กับเราเลย แต่ถ้าต้นข้าวขึ้นมา ข้าวมันจะออกรวงขึ้นมานะ เราจะเอาข้าวนี่มาหุงหาเป็นข้าวกินได้ นี่ก็เหมือนกัน ความคิดอย่างนี้มันคิดขึ้นมาแล้วก็เจ็บแสบปวดร้อน ถ้าความคิดเป็นข้าว เป็นสิ่งคุณประโยชน์ขึ้นมากับใจ มันก็ไม่ค่อยเห็นค่อยคิดเลย คิดอย่างนี้ นี่อย่างนี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ

ปัญญาความคิดอย่างนี้เป็นโลกียปัญญา ปัญญาของเราเองนี่แต่มันไม่มีฐานของสมาธิขึ้นมา มันคิดมันใคร่ครวญของมันขึ้นมา เห็นไหม นี่เขาเรียกว่าธรรม ธรรมจะเป็นสภาวะแบบนี้ แล้วถ้าพูดคำว่าธรรมๆ ใครเป็นบอกว่าธรรมล่ะ?

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม ลองผิดลองถูกมานะ ไปเรียนกับอาฬารดาบส เข้าสมาบัติได้ ฝึกจิตสงบขนาดไหน เหาะเหินเดินฟ้าได้นะ กาฬเทวิลไปอยู่บนพรหม มนุษย์นี่แหละ แต่เวลาเข้าสมาบัติได้ พลังของจิตทำให้เราเหาะเหินเดินฟ้าได้ ขึ้นไปอยู่บนพรหม นี่ใครเชื่อไม่เชื่อทดสอบได้ ทดสอบเลย ทดสอบจากพลังของจิต

ขณะที่ไปอยู่บนพรหมขนาดไหนก็แล้วแต่ เวลาเจ้าชายสิทธัตถะเกิดขึ้นมา ลงมาดูเลย เห็นไหม เพราะอะไร เพราะตัวเองรออยู่ ตัวเองมีฤทธิ์เดชทั้งหมดแต่ไม่มีปัญญา ไม่มีอริยสัจเข้าถึงความจำกัด คือเหมือนกับเป็นโรคที่ปัจจุบันนี้ยังไม่มียาที่รักษาได้ อริยสัจยังไม่เกิดขึ้นมา อริยสัจคนที่จะเกิดขึ้นมาคือคนที่บุกเบิก บุกเบิกคือใคร บุกเบิกคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของเรา เป็นครูของเรา

สิ่งนี้เป็นศาสดาของเรา กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหมแก้วสารพัดนึก นึกอะไร?

เรานึกระดับของทานก็ได้บุญกุศล เห็นไหม นึกถึงศีลก็ได้จิตเราใจปกติขึ้นมา ระดับของปัญญา เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก ใครนึกอย่างไร มันเกิดที่ใจ เช่น เราเวลากลัวผี เรากลัวสิ่งต่างๆ ขึ้นมา เรากลัวผี ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว เห็นไหม ยิ่งกลัวขึ้นมา แล้วความกลัวมาจากไหน?

แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธขึ้นมา มันทิ้งจากความกลัวอันนั้นมาอยู่กับพุทโธ เห็นไหม นี่มันเกิดที่ใจ สมบัติจากภายนอก สมบัติจากภายใน สมบัติของใจนี่มันพัฒนาของมันได้ ถ้าพัฒนาขึ้นมาอย่างนี้ มันจะเห็นเลยแหละ เห็นว่าค่าของความรู้สึกอันนี้ มันมีค่ากว่าทุกๆ อย่างเลย ค่าความรู้สึกเพราะอะไร?

เพราะความรู้สึกนี่ เราบอกความรู้สึกนี่มันเกิดดับใช่ไหม มันไม่มีคุณประโยชน์ แต่แก้วแหวนเงินทองนี่ ยิ่งเป็นแร่ธาตุต่างๆ ที่มันเป็นสมบัติของเรามีคุณค่า คุณค่าอย่างนั้นไม่มีคุณค่าเลยเพราะมันเป็นแร่ธาตุ แต่ความรู้สึกอันนี้ ถ้ามันแนบไปกับใจ มันอยู่กับใจขึ้นมา ค่าของความรู้สึกนี่

แล้วเกิดถ้ามันชำระจนสะอาด ความรู้สึกมันมีไหม มันก็มีตลอดไปเพราะความรู้สึกมันมีอยู่ เห็นไหม แต่มันสะอาด มันคิดอย่างที่ว่าคิดแบบต้นหญ้า คิดแบบสิ่งที่เป็นป่ารกชัฏที่ทำลายพื้นหัวใจ มันจะเห็นโทษของมันแล้วมันจะสละออกไป แล้วก็จะคิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจขึ้นมา

พอเป็นประโยชน์ต่อหัวใจขึ้นมา มันก็เกิดเห็นคุณและเห็นโทษ พอเห็นโทษมันก็ปล่อยวางสิ่งที่เห็นโทษ เห็นไหม มันก็กลับมาเป็นความสงบของใจ แล้วใจพยายามรักษาบ่อยครั้งเข้า ชำนาญในวสี จิตจะตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นนะ จิตตั้งมั่นจิตควรแก่การงาน เหมือนคนจะปั้นหม้อปั้นไห เขาต้องเอาดินนี่มานวดก่อน พอดินนี่นวดให้มันสมควรที่เขาจะปั้นหม้อปั้นไหได้

ใจก็เหมือนกัน ถ้ายังคิดโดยป่ารกชัฏ คิดโดยหญ้า คิดโดยดิน เรายังไม่ได้นวดให้ดีเลย มันเป็นก้อนเป็นเม็ดอยู่ ไปปั้นมันรั่ว มันไม่เป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา เห็นไหม มันปั้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้เหมือนกัน แต่มันใช้ประโยชน์ไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าใจยังคิดด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่มันเป็นกิเลสๆ มันคิดขึ้นมาแล้วกิเลสมันเป็นความเศร้าหมอง มันย้อนกลับมา มันมีส่วนผสมไปในความคิดนั้น มรรคนี้ถึงไม่สะอาดไง มรรคสามัคคีมันรวมตัวไม่ได้ มันสามัคคีไม่ได้ไง ถ้าสามัคคีไม่ได้ มันก็เป็นหม้อเป็นไหขึ้นมาสำเร็จรูปไม่ได้ สำเร็จรูปขึ้นมาก็สำเร็จรูปใช้ประโยชน์ไม่ได้ เห็นไหม ถึงต้องความสงบของใจ พยายามให้จิตสงบเข้ามา เพราะอะไร เพราะในมรรคนั้นมีสัมมาสมาธิด้วย

สัมมาสมาธินี่มันเป็นพื้นฐานของใจ แล้วใจมันพัฒนาการของมันขึ้นมา มันทำความสะอาดของใจขึ้นมา นี่ใจสะอาดสะอาดอย่างนี้ไง แล้วสะอาดอย่างนี้มันเห็นโทษไปหมด แล้วมันสมุจเฉทปหานขึ้นไปแล้ว พอเสื้อผ้าของเราซักสะอาดแล้วแขวนไว้ไม่ได้ใช้เลย มันจะสะอาดตลอดไป

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันสะอาดขึ้นมาแล้วมันจะสะอาดตลอดไป เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้นะ เพราะอะไร เพราะเสื้อผ้านี่เราต้องเอามานุ่งมาห่ม ถ้านุ่งห่มเมื่อไหร่มันก็สกปรกเมื่อนั้น แต่ถ้ามันสะอาดเก็บไว้ เห็นไหม สมุจเฉทปหาน เวลาสะอาดแล้วสะอาดจริง แต่ถ้าขณะเสื้อผ้าที่เรายังไม่ได้เก็บไว้ เราซักทำความสะอาดแต่เราก็มานุ่งห่มอยู่

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาที่มันใคร่ครวญแล้วมันไม่ถึงที่สุด เราก็ต้องใช้มันตลอดไป พอใช้ตลอดไปมันก็มีความสกปรกของใจเข้าไป นี่มันถึงต้องย้อนกลับมาสงบบ่อยครั้งๆ เข้า ซักแล้วซักเล่า ซักแล้วซักเล่า ซักแล้ว ซักจนไม่ใช้มันแล้ว เสื้อผ้าชุดนี้ของหัวใจนี้ไม่ใช้มันอีกแล้ว มันปล่อยวางได้สัจจะความจริงอยู่แล้ว เห็นไหม มรรคญาณมันเกิดอย่างนี้ไง เกิดจากหัวใจ เกิดจากความเห็นของเรา เกิดจากการประพฤติปฏิบัติของเรา เกิดจากคุณงามความดีของเรา

คุณงามความดีของศาสนานะ ศาสนานี่สอนให้คนเป็นความดีเป็นชั้นๆ เลยแหละ ดีจากภายนอก เห็นไหม มีศีลธรรมนี่ดีจากภายนอก เจอกิเลสกระทบเข้าไปมันก็ทนไม่ไหวเหมือนกันนะ แต่ถ้ามันดีจากภายใน จิตมันสมุจเฉทฯ มันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ ดีจากภายใน ถ้าจิตมันสะอาดบริสุทธิ์แล้ว อกุศลมันเกิดจากจิตดวงนั้นไม่ได้ จิตดวงนี้คิดอกุศลไม่ได้เลย เพราะมันคิดนี่มันรู้ทัน เหมือนกับเราไปหยิบของสกปรกหรือมือเราไปหยิบไฟ เรากล้าหยิบไหม?

ความอกุศลนี่เหมือนกับเราไปหยิบของที่เหม็น ใจมันไม่กล้าหยิบหรอก มันหยิบไม่ได้ เห็นไหม พัฒนาขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนอย่างนั้น พัฒนาจากภายนอกภายใน ภายนอกคือว่ามีทรัพย์สมบัติ เห็นไหม เกิดทำบุญกุศลนี่เป็นอามิส เราก็เกิดจากบุญกุศล พาหนะมันพร้อมมา มันทำให้เราไปไหนได้

นี่ก็เหมือนกัน ทำบุญกุศลจะยกให้จิตนี่เกิดในเทวดา ในอินทร์ ในพรหม ใครเชื่อไม่เชื่อเรื่องของเขา สัจจะความจริงต้องมี เรากินอาหารเข้าไปในท้องของเรา รสชาติเราก็ต้องรู้จัก ผลของอาหารนั้นให้ประโยชน์กับร่างกายเราก็ต้องรู้จัก รู้จักทั้งนั้นนะ

ใจก็เหมือนกัน เวลาเร่าร้อนไม่ต้องถามใครนะ ทุกคนบอกว่าทุกข์ จะนั่งอยู่บนกองเงินกองทองมันก็ทุกข์ แต่ถ้ามันมีความสุขนะ นั่งอยู่ที่โคนไม้มันก็สุข เห็นไหม ใจอันนี้มันเป็นปัจจัตตัง มันอยู่ในหัวใจของเรา มันรู้จักหัวใจของเรา สิ่งนี้ไม่ต้องมีใครบอกหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถทำให้ใครบริสุทธิ์ได้ แต่สามารถชี้นำได้

ใจของเราก็เหมือนกัน พัฒนาได้ เราทำของเราได้ แล้วประโยชน์นี้เกิดขึ้นมาจากเรา เห็นไหม ถ้าพัฒนาที่ใจมันข้ามภพข้ามชาติ เลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างหนึ่ง เลี้ยงหัวใจอย่างหนึ่ง ค่าของหัวใจนี่สำคัญมากเลย สำคัญจริงๆ เลยเพราะอะไร? เพราะเกิดมานี่เกิดจากสายบุญสายกรรม ทำไมเรามาเกิดเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกัน ถ้าไม่มีบุญกุศล ไม่มีการสร้างสมบุญมา จะมาเกิดร่วมกันเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีสายบุญสายกรรมร่วมกันมา

แล้วร่วมกันมา เห็นไหม นี่อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกับบิดามารดา บุตรที่เสมอบิดามารดา บุตรที่ว่าหนักอกหนักใจบิดามารดา มันมีทั้งนั้นล่ะ กรรมอย่างนี้มันมีต่อเนื่องกันมา แต่แก้ไขได้ อุปสรรคต่างๆ มีไว้ให้แก้ไข อริยสัจนี่แก้ไขภายใน แต่สิ่งที่ประพฤติปฏิบัตินี่แก้จากภายนอก ทาน ศีล ภาวนา แก้ไขเราทั้งนั้น

ศาสนานี่เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่มีตั้งแต่พื้นๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด เราจะเอาทรัพย์อะไรจากศาสนา เอาที่ไหน? เอาในหัวใจเรานี่ไง เอาในพระไตรปิฎกนะมันก็เป็นหนังสือนะ เอาในหัวใจของเรานี่ หัวใจเราพัฒนาแล้วเอาจากที่นี่ นี่แผ่นดินเห็นไหม ที่ของเรา ขุดน้ำของเรา น้ำเราได้ใช้ของเรา หัวใจของเรา ทุกข์ของเรา สุขของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา เป็นสมบัติของเรา เอวัง